ดรุณสิกขาลัย โรงเรียนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้
Darunsikkhalai School for Innovative Learning
จากประสบการณ์ชีวิตของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา นับตั้งแต่ได้เรียนระดับมัธยมศึกษาที่วชิราวุธวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วศ.บ. ไฟฟ้า เกียรตินิยม กับ วศ.บ.เครื่องกล) และระดับปริญญาโท สาขา Mechanical Engineering จาก MIT ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากสำเร็จการศึกษาได้มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ บริษัท General Electric ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ต่อมาจึงได้ทำงานกับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เป็นเวลากว่า 39 ปี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานการบุคคลกลางเป็นคนแรกของ SCG และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ในปี 2528 – 2535
การทำงานมาอย่างต่อเนื่องที่ SCG ทำให้คุณพารณมีความเชื่อว่า “องค์กรขับเคลื่อนด้วยคนดีและเก่ง” ในช่วงที่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณพารณมีหลักการบริหารด้วยแนวคิด “พนักงานเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร” จนกระทั่งเกษียณอายุการทำงานจาก SCG แล้วโดยเป็นกรรมการของ SCG อีก 15 ปี คุณพารณจึงได้ตั้งปณิธานที่จะอุทิศชีวิตบั้นปลายให้กับการพัฒนาการศึกษาของไทย ภายใต้แนวคิด “เด็กไทยเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของประเทศไทย” เพื่อพัฒนาเด็กไทยให้สู้ได้ในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง และกว้างขวาง
ในปี 2539 คณะศิษย์เก่า MIT ได้รวมตัวกันก่อตั้งมูลนิธิ FREE โดยมี ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกจาก MIT เป็นประธานมูลนิธิ และในปีเดียวกันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ให้ว่า “มูลนิธิศึกษาพัฒน์” คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ซึ่งร่วมเป็นกรรมการมูลนิธิ และคุณแบงกอก เชาว์ขวัญยืน ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน Mathematics จาก Cambridge University และระดับปริญญาโทจาก MIT Sloan School of Management เป็นสองคนในคณะผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ได้ร่วมกันรับงานเรื่องการพัฒนาการศึกษาแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อการเรียนการสอน ด้วยความเชื่อที่ว่า MIT มีเทคโนโลยีต่างๆ มาจากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ จึงได้ประสานงานติดต่อกับ MIT Media Lab เพื่อนำเอาทฤษฎีการเรียนรู้ชื่อว่า “Constructionism” ซึ่งเป็นผลจากงานวิจัยของ Professor Seymour Papert มาทดลองปรับใช้กับทุกภาคส่วนต่างๆในสังคมไทย โดยเริ่มต้นที่โรงเรียนก่อน
Professor Seymour Papert เป็นสานุศิษย์ของ Professor Jean Piaget ผู้คิดค้นทฤษฎีการเรียนรู้แบบ Constructivism ซึ่งในเวลาต่อมา Professor Papert ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ MIT เมือง Boston รัฐ Massachusetts และได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการเรียนรู้ต่อยอดจากอาจารย์ของท่าน และเรียกทฤษฎีของท่านว่า Constructionism ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาวิจัยพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กมาเป็นเวลากว่า 20 ปี จนได้พบว่า ถ้านำผู้เรียนตั้งแต่อายุยังน้อยที่มีความสนใจใกล้เคียงกัน มาชี้ชวนให้เรียนรู้และทำโครงงานร่วมกัน โดยครูเปลี่ยนบทบาทมาเป็น facilitator คือเป็นผู้เอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศในห้องเรียนให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ (conducive to learning) และบูรณาการด้วยเทคโนโลยี วิชาการ และอื่นๆ เข้าไป จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ (learning how to learn) และคิดที่จะคิดต่อไปเองได้ (thinking about thinking) คือรู้จักเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning)
คุณพารณและคุณแบงกอกได้ปรับใช้และขยายผลทฤษฎีการเรียนรู้แบบ Constructionism ในสังคมไทย ภายใต้โครงการความร่วมมือ Lighthouse Project ของมูลนิธิศึกษาพัฒน์ โดยเริ่มขยายผลไปยังภาคชุมชน ภาคธุรกิจเอกชน และภาคการศึกษา ทั้งโรงเรียนในระบบและการศึกษานอกระบบ โดยเริ่มต้นจากการศึกษานอกระบบก่อน หลังจากความวิริยะอุตสาหะอย่างต่อเนื่องของคุณพารณและคุณแบงกอกที่ได้เดินทางติดตามผลงานในที่ต่างๆ ทำให้พบว่า ข้อจำกัดด้านหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และวิธีการบริหารจัดการ ตลอดจนวิธีคิด (mindset) ของครูและผู้บริหารส่วนใหญ่ในขณะนั้น เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถนำวิธีการ Constructionism ไปขยายผลในโรงเรียนได้ดีเท่าที่ควร
คณะผู้บริหารโครงการ Lighthouse Project ของมูลนิธิศึกษาพัฒน์ จึงมีแนวคิดว่า ควรต้องมีโรงเรียนตัวอย่างของตัวเอง เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนตามทฤษฎี Constructionism อย่างเต็มรูปแบบ เริ่มต้นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนต้นจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยบูรณาการด้วยเทคโนโลยี วิชาการ ศิลปวัฒนธรรม ความเป็นไทย ศีลธรรมจรรยา และภาษาอังกฤษ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการฟัง พูด อ่าน เขียน และไวยากรณ์ที่เข้มข้นตามลำดับ จนผู้เรียนเข้าใจและมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเท่าๆ กับภาษาไทย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มตัวอย่างที่จะได้รับประสบการณ์ทางการเรียนรู้ตามวิธีการดังกล่าวอย่างเข้มข้นลึกซึ้ง ต่อเนื่อง และเป็นไปตามธรรมชาติ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมในการเรียนรู้ขึ้นใหม่ คือมีความกระหายที่จะเรียนรู้ (passion of learning) โดยผู้เรียนไม่รู้สึกต่อต้าน และติดเป็นนิสัยใฝ่เรียนรู้ไปตลอดชีวิต สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ทุกประการ
ในปี 2544 คุณพารณได้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งแรกที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ออกนอกระบบราชการ โดยมี ดร.หริส สูตะบุตร ศิษย์เก่า MIT เป็นอุปนายกสภา และคุณแบงกอกเป็นกรรมการสภา ทุกคนได้ร่วมกันเสนอสภามหาวิทยาลัยให้พิจารณาการจัดตั้งโรงเรียนต้นแบบตามแนวคิดข้างต้น สภามหาวิทยาลัยจึงมีมติเห็นควรให้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นภายในมหาวิทยาลัย โดยมีสถานะเทียบเท่าภาควิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัยและมี
การบริหารจัดการที่เป็นอิสระโดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ ทำให้การบริหารจัดการองค์กรมีความคล่องตัวสูง และเมื่อดำเนินการไปแล้วระยะหนึ่ง จะสามารถพัฒนาให้เกิดนักเรียนและครูพันธุ์ใหม่ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ได้ รวมทั้งจะพัฒนาไปเป็นสถาบันการเรียนรู้ (Learning Institute) ที่ทันสมัยต่อไปในอนาคต
นับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ดรุณสิกขาลัย โรงเรียนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ จึงเริ่มเปิดให้มีการเรียนการสอนเป็นปีการศึกษาแรก ดำเนินการสอนแบบ 2 ภาษา (ไทยและอังกฤษ) โดยเป็นโครงการนำร่องที่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือระหว่าง MIT Media Lab มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มูลนิธิศึกษาพัฒน์ และมูลนิธิไทยคม มีวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งพัฒนาเด็กไทยให้เป็นพลเมืองโลกและพลเมืองไทยในคนๆ เดียวกันที่รักษาความเป็นไทยไว้ได้และมี passion of learning สูง ด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบ Constructionism ซึ่งคิดค้นจากผลงานการวิจัยโดย Professor Seymour Papert แห่ง MIT Media Lab และการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการ Learning Organization ซึ่งคิดค้นจากผลงานการวิจัยโดย Peter M. Senge แห่ง MIT Sloan School of Management